048 ธรรมปัจเวกขณ์
วันที่ -- กันยายน ๒๕๒๖

ชีวิตมีแต่การศึกษา เราไม่เพ้อเจ้อ เราไม่พูดก็ตาม คิดก็ตาม การงานก็ตาม เราไม่ให้มันฟุ่มเฟือย เพ้อเจ้อ เสียหายเปล่า เราพยายาม แม้แต่จะคิด แม้แต่จะพูด แม้แต่จะกระทำการงาน หรือแม้แต่ ในอาชีพ ที่เรากระทำอยู่ ประจำวัน เราก็พยายาม ที่จะตั้งจิต ให้มีสัมมาทิฏฐิ ให้มีคุณค่า ให้มีประโยชน์ ให้เป็นกุศล ให้เป็นไป เพื่อความสร้างสรรเสียสละ ไม่โลภ และก็ไม่พยายามทำ ให้มันเป็นการอาฆาต มาดร้าย โกรธเคือง อาจข่มขี่ เอาชนะคะคานอะไรกัน ให้เกินการ เรารู้หลักใหญ่ๆ อย่างนี้แล้ว เราก็ไปทำ ในรายย่อย อาการน้อย อาการเล็ก ซึ่งรู้ยาก พิจารณารู้ตัวทั่วพร้อม มีสติปัฏฐาน ปฏิบัติอยู่เรื่อยไป พยายาม อย่าให้มันเสียหายเปล่า ดังกล่าวแล้ว อย่าให้มันเพ้อเจ้อ อย่าให้มันฟุ่มเฟือยเล่น อย่าให้มันตกหล่น มันก็เป็นไปด้วยดี เบิกบาน ร่าเริง แต่เราก็พูดคุย ทำการทำงาน สร้างสรรนู่นนี่อยู่ แม้จะใช้ความคิด ความอ่าน ก็คิดเข้าร่อง เข้ารอย เข้าหาแก่นสาร เข้าหาสาระ เพื่อมนุษย์ ตนเองบ้าง ผู้อื่นบ้าง โดยเฉพาะ ยิ่งคิดเพื่อผู้อื่นได้ ก็ยิ่งดี เรารู้เป้าหมาย รู้แนวทางอย่างนี้ สั่งสมไปบ่อยๆ บ่อยๆ มันก็จะหนักแน่น มันก็จะเห็นจริงขึ้นจริงๆ ทุกวัน ๆ ๆ เราก็สบาย ปัญญาเรา จะเห็นแจ้งจริงๆว่า เกิดมาก็เท่านั้น ชีวิตมนุษย์ เดินทางไปสู่ หลุมฝังศพ แล้วเราเอง เราก็มาหลงโลก ที่เขาเป็นอย่างโลกย์ๆ แย่งลาภ แย่งยศ แย่งสรรเสริญ ก็ไปหลงโลกียสุข ที่เขาหลอกว่า มันเป็นความสุข เป็นความเพลิดเพลิน เป็นความอร่อย เป็นความสนุก สนานอะไร ก็เยอะแยะ ที่เขาจะใช้ภาษาหลอกล่อ เมื่อเรามาเข้าใจ ได้พิสูจน์ลดละลงไป จริงๆแล้ว ตั้งแต่ระดับ หยาบๆ ต้นๆ เปล่าประโยชน์จริงๆ จนกระทั่ง แม้แต่เรา ก็ยังหลงว่า มันเป็นรสเป็นชาติ อยู่ตามจริง เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นอะไรก็ตามแต่ เราจะมาเห็นจริงว่า มันจางคลายได้ และแม้บางอย่าง มันสุดสิ้นได้

แม้ที่สุดแห่งที่สุด มันก็สุดสิ้นได้ทุกอย่าง มันไม่ได้เป็นรสเป็นชาติ ที่จะยึดมั่นถือมั่น ติดตรึงตรา อะไรได้ เราละล้าง จางคลายออก ปัดเป่าออก หลุดพ้นออก เราหมดตัวหมดตน หมดความติดความยึด ได้มากเท่าใดเท่าใด เราเรียนรู้ตามระบบของ พระพุทธเจ้าแล้ว เราจะเห็นพลังงานนี้ มันก็ผ่านไป ๆ วันหนึ่ง ๆ ผ่านไป เวลาก็กลืนกินสรรพสัตว์ ถ้าเราไม่มีกิริยา ไม่มีบทบาท ไม่มีการงาน ไม่มีการกระทำโดยรู้ โดยสร้างโดยสรร มันก็เปล่าดาย เวลาก็กลืนกินสรรพสัตว์ไป อย่างนั้น ถึงหลุมฝังศพ แล้วก็ตายเปล่า เป็นโมฆบุรุษ เน่าเหม็นไปเฉยๆ ไม่เกิดคุณค่าอะไร เพราะงั้น ถ้าเรารู้ความหมาย ที่พระพุทธเจ้า ท่านเตือนเราแล้ว เวลาล่วงไป ๆ ทำอะไรอยู่ ถ้าเราไม่ได้ทำ ทำเสีย เวลามันกลืนกินสรรพสัตว์ รู้ให้ชัด มันกลืนกินจริงๆ เพราะงั้น แทนที่เราจะให้มัน กลืนกินเปล่า เราก็สร้างสรร เราก็กอบก่อ เราก็มี คุณค่าประโยชน์

เมื่อยท่านก็ให้พัก ไม่เมื่อยเราก็เพียร ขยันไป ทำงานขยัน ไปทำงานโน่นนี่ บางทีมันก็เร่ง มันก็อาจจะเมื่อยหน่อย บางทีไม่เร่ง ก็ทำไปได้เรื่อยๆ วันหนึ่งคืนหนึ่ง เราจะเห็นว่า งานส่วนที่เราได้ทำ ได้เป็นคุณค่าอยู่ มีเยอะแยะ มันไม่ค่อยเมื่อย อะไรนักหนา ก็มีอยู่ พอเป็นพอไป เมื่อยสุด มันก็ต้องพัก มันก็เป็นไป เราก็ทำอยู่ ดังนี้เป็นความรู้ ไม่ยากเกินการที่จะรู้ แต่โรคกิเลส โรคที่มันทำให้เรา ขี้เกียจบ้าง ทำให้เราเห็นแก่ตัว ทำให้เราไปติด อย่างโลกย์ๆ ที่หลอกมา เมื่อแก้กลับได้จริง เราจึงจะเห็นชัด เห็นเจนว่า คนเราก็เกิดมา ก็สร้างสรรประโยชน์ คุณค่าให้แก่โลก จึงจะไม่เป็นโมฆบุรุษ จึงจะเป็นคนมีประโยชน์ มีคุณค่า ดังกล่าวแล้ว เขาก็เชิดชูบูชา ยกย่อง แล้วเราก็ไม่หลง ซ้อนลงไปอีก ในความดีของเรา เขาจะเชิด เขาจะชู เขาจะบูชานับถืออย่างไร ก็เขาก็เชิดชู เป็นตัวอย่าง เป็นแบบ เป็นแนวโน้ม ชี้ให้คนในโลก รู้เห็นว่า คนดีเป็นอย่างนี้ คนประเสริฐเป็นอย่างนี้ เขาก็จะได้แลตาม เขาก็จะได้เอาอย่างตาม โลกก็ได้อุดมสมบูรณ์ เป็นสุขสันติ

นี่โดยความจริง พูดกันง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องยาก เมื่อเรามาพิสูจน์แล้ว ว่ากิเลส มันมีจริง มันมีจริง ที่จริงมันไม่ใช่ของจริง แต่มันมีจริง เราก็ล้างมันเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่า มันไม่มีจริง หรือมันหมดได้ ไม่ใช่ของที่จะอยู่คงฟ้าคงดิน มันเป็นของสลายได้ดับได้ ล้างได้จริงๆ เราให้มาพิสูจน์กัน และเราได้เป็นอยู่สุข และเราก็ จะได้มีคุณค่า เราจะได้อนุเคราะห์โลก ช่วยอุ้มชูโลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีสิ่งเหล่านี้ ครบบริบูรณ์ สุดท้าย ท่านก็ ทั้งพระชนม์ชีพ เมื่อตรัสรู้แล้ว ๔๕ พรรษา ท่านไม่ได้ไปเอา สิ่งที่พวกนั้นเลย ไอ้โลกีย์ โลกีย์นั่น ท่านมาเป็นคุณค่า เป็นตัวอย่าง เป็นแบบฉบับ และก็พานำ หาวิธีการแนะนำ ให้มันเข้าสู่ทิศทาง ได้ดีที่สุด ตลอดพระชนม์ชีพ สั่งสอน ตะลอนๆ ไม่มีเครื่องทุ่นแรง เหมือนอย่างสมัยนี้ เราเสียด้วยซ้ำไป ท่านก็ยัง อุตสาหะ วิริยะ พระชนม์ชีพ ตลอดพระชนม์ชีพ จนกระทั่ง ดับขันธ์ไป ระลึกถึงท่านให้มาก และพวกเรา ก็จะได้รู้ว่า เกิดมา ถ้าเราเห็นว่า พระพุทธเจ้า เป็นแบบอย่างอันสูงสุด ก็นั่นแหละ เราทำอย่างท่านเถิดนะ นั่นเป็นสิ่งดี สิ่งประเสริฐ ถ้าเราเข้าใจผิดว่า พระพุทธเจ้าไม่ใช่สิ่งดี สิ่งประเสริฐ อย่างนี้ไม่ใช่แบบ ไม่ใช่อย่าง นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ในเมื่อ เราเชื่อมั่นอยู่ว่า คนอย่าง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นบรมครู เป็นบรมศาสดา เป็นตัวอย่าง อันเด็ดขาด ดีแท้ ไม่มีทางเถียงได้ ก็จงพยายามเถิด ได้ทั้งประโยชน์ตน และ ประโยชน์ท่าน นั่นแล

สาธุ.

ธรรมปัจเวกขณ์ ๒๕๒๖